วันสตรีสากล กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้หญิง

วันสตรีสากล กับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้หญิง

วันนี้ ถือเป็นวันสากลของผู้หญิง หรือที่เรียกกันว่า วันสตรีสากล ซึ่งถูกเฉลิมฉลองทั่วโลก เพื่อเชิดชูและยกย่องสิทธิและบทบาทของผู้หญิงในสังคม และการพัฒนาของโลก ในวันนี้เราต้องระลึกถึงการสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นกันเอง และปลอดภัยสำหรับผู้หญิงทุกคน รวมถึงเข้าใจและเคารพความแตกต่างทางเพศ และต่อต้านความไม่เท่าเทียมกันในทุกๆ ด้าน เพื่อเป็นกำลังใจ และส่งเสริมให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ทางสังคม เชื่อมั่นในศักยภาพและคุณค่าของผู้หญิง และส่งเสริมให้มีการเปลี่ยนแปลงในสังคม เพื่อสร้างโอกาสของผู้หญิงในทุกสาขาอาชีพอย่างเท่าเทียมกับผู้ชายในทุกๆ ด้าน

ทำไมถึงต้อง เฉลิมฉลอง วันสตรีสากล

วันสตรีสากล ถูกเฉลิมฉลองในวันที่ 8 มีนาคมของทุกปี เป็นวันที่มีความสำคัญในการย้ำให้เห็นถึงสิทธิของผู้หญิง และการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ วันสตรีสากล ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นการท้าทาย และแนะนำให้ผู้หญิงได้เล่าเรื่องราวของตนเอง สื่อสารกับกลุ่มคนในสังคมว่า ผู้หญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมกับผู้ชาย นอกจากนี้ วันสตรีสากล ยังเป็นการสะท้อนถึงความไม่เท่าเทียมทางเพศที่ผู้หญิงต้องเผชิญอยู่ในสังคม โดยมีการรับรู้ และส่งเสริมการต่อสู้เพื่อสิทธิ นำไปสู่ความเป็นธรรมในสังคมทั่วโลก เพราะผู้หญิงมีสิทธิ์เท่าเทียมกับผู้ชาย และมีความสำคัญในสังคมเช่นเดียวกัน

ทำไมถึงต้อง เฉลิมฉลอง วันสตรีสากล

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้หญิง มีอะไรบ้าง?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่

  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัส
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย
  • โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้ออื่นๆ

ในที่นี้ จะยกตัวอย่างเฉพาะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้หญิงที่พบได้บ่อย เพื่อให้ได้ศึกษาและเข้าใจลักษณะของโรค และจะได้ทำการป้องกันอย่างถูกวิธี ดังต่อไปนี้

โรคเริมที่อวัยวะเพศ

เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด Herpes Simplex Virus แบ่งออกเป็น 2 ชนิด ชนิดที่ 1 จะเกิดตุ่มใสในปาก และสามารถเกิดที่อวัยวะเพศได้ด้วย ส่วนชนิดที่ 2 เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการติดเชื้อที่อวัยวะเพศ โดยเชื้อนี้จะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ ไวรัสชนิดนี้ จะฝังตัวที่ปมประสาทและอยู่แบบนั้นถาวร ถุงยางอนามัยไม่สามารถป้องกันเชื้อได้ทั้งหมดเพราะไวรัสสามารถทำให้เกิดแผล บริเวณต้นขาหรือทวารหนักได้

อาการของโรคเริมที่อวัยวะเพศในผู้หญิง

ส่วนใหญ่ไม่มีอาการ และไม่ทราบว่ามีเชื้อจนกว่าไวรัสจะแสดงตัว อาการแรกๆ ที่พบ คือ ปวดและระคายเคืองบริเวณอวัยวะเพศหรือช่องคลอด บางทีอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ มีไข้ ปวดศีรษะ ปัสสาวะลำบาก ซึ่งหากคุณมีอาการดังกล่าวนี้ ควรรีบพบแพทย์ เพื่อทำการซักประวัติ และตรวจร่างกาย แพทย์จะสอบถามอาการที่มีเบื้องต้น และพฤติกรรมการมีเพศสัมพันธ์ของคุณด้วย และต้องมีการเก็บตัวอย่างจากแผล หรือตุ่มน้ำที่พบ ส่งตรวจห้องปฎิบัติการ เพื่อยืนยันว่าเป็นไวรัสชนิด Herpes Simplex Virus จริงๆ หรือเพื่อกำจัดโรคอื่นๆ ที่สงสัยออกไป และการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดีของเชื้อไวรัสชนิด Herpes Simplex Virus ที่บ่งบอกได้ว่าพึ่งได้รับเชื้อ หรือเคยเป็นมาก่อนแล้ว

การรักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศผู้หญิง

ปัจจุบันยังไม่มียาที่รักษาโรคเริมที่อวัยวะเพศหายขาด แต่แพทย์ก็เลือกใช้ยาแอนติไวรัส เช่น Acyclovir Famciclovir Valacyclovir ซึ่งจะรับประทานในแค่ระยะสั้นๆ ป้องกันการก่อโรค หรือยาระงับปวดเช่น Acetaminophen หรือยาทาเฉพาะที่ที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ นอกจากนี้ การปฏิบัติตน เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น การทานอาหารที่มีสารอาหารเพียงพอ และเพิ่มปริมาณการออกกำลังกาย เป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคเริมที่อวัยวะเพศของผู้หญิงได้ด้วย

โรคหูดหงอนไก่ (HPV)

เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV) สายพันธุ์ที่ 6 และ 11 พบมากในผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 17-35 ปีขึ้นไป ยิ่งในกลุ่มผู้มีประวัติเปลี่ยนคู่นอนบ่อย และเคยติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์โรคอื่นมาก่อน ยิ่งทำให้ติดเชื้อนี้ได้ง่ายขึ้น

อาการของโรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิง

โดยปกติไม่มีอาการ หรือหากมีก็จะเป็นอาการแสบ คัน และมีมูกไหลออกมาจากช่องคลอดได้ อาจมีหูดเกิดในบริเวณที่อับชื้นหรือปากช่องคลอด โตกระจายทั่ว เป็นตุ่มเล็กๆ สีขาวหรือชมพูอ่อน โดยตุ่มนี้จะมีขนาดเล็กแต่ขยายตัวเป็นวงกว้าง เป็นลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ หากไม่ได้รับการรักษาโรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน คือ โรคมะเร็งอุ้งเชิงกรานและการอุดตันทางปัสสาวะได้

การวินิจฉัยและการรักษาโรคหูดหงอนไก่ในผู้หญิง

หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์เพื่อซักประวัติและตรวจร่างกาย รวมถึงเก็บตัวอย่างหูดหรือชิ้นเนื้อไปตรวจหาสาเหตุของโรค หากพบว่าติดเชื้อ HPV แพทย์จะใช้ยาทาบนหูดที่มีขนาดเล็ก อาทิเช่น Imiquimod, 5-FU, Podofilox, TA cream แต่หากเป็นหูดขนาดใหญ่ จะใช้ Liquid Nitrogen หรือเลเซอร์ในการผ่าตัดรักษา อย่างไรก็ตาม โรคหูดมักกลับมาซ้ำๆ จึงต้องรักษาเรื่อยๆ จนกว่าจะหายขาด

ไวรัสตับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus) เป็นไวรัสที่สามารถทำให้เกิดการติดเชื้อตับอักเสบได้ โดยจะมีการติดเชื้อผ่านทางเลือดเป็นตัวการหลัก โรคตับอักเสบบี สามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว ในประเทศไทยพบว่ามีการติดเชื้อสูงและหลายคนยังไม่รู้ตัวว่ามีเชื้อนี้อยู่ในร่างกาย เพราะเมื่อติดเชื้อแล้วจะไม่มีอาการ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย อาการที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนเพลีย มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน หากไม่ได้รับการรักษาทันที อาจทำให้เกิดพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีได้ง่าย หรือมีการพัฒนาของโรคไปเป็นตับอักเสบเรื้อรัง หรือมะเร็งตับ

การป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีในผู้หญิง

สามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีน ซึ่งจะช่วยป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังควรเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยากับผู้อื่น หรือเข็มฉีดยาที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อที่ถูกต้อง หรือไม่สัมผัสเครื่องมือทางการแพทย์ที่มีเลือดเป็นส่วนประกอบ และควรมีพฤติกรรมสุขอนามัยที่ดี เช่น หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้สารเสพติดเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง

ไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี ไวรัสเอชไอวี ซิฟิลิส

ไวรัสตับอักเสบซี

ไวรัสตับอักเสบซี (Hepatitis C Virus) เป็นไวรัสที่เข้าทำลายเนื้อเยื่อตับ และทำให้เกิดการติดเชื้อตับอักเสบชนิดหนึ่ง โดยส่วนใหญ่ผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการอย่างชัดเจนในช่วงแรก แต่เมื่อโรคเริ่มดำเนินไปสักระยะหนึ่งแล้วจะพบว่ามีอาการเจ็บหน้าท้อง อาเจียน น้ำหนักลด หรือปวดข้อ และหากไม่ได้รับการรักษาอาจเป็นอันตราย และเสียชีวิตได้ในที่สุด

การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี สามารถทำได้โดยการเจาะเลือด โดยผู้ที่มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี คือ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น การได้รับเลือดที่ไม่ผ่านการคัดกรองเชื้อไวรัส รวมทั้งมีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น มีเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด หรือทวารหนักโดยไม่มีการป้องกัน ทั้งนี้ การรักษาโรคตับอักเสบซีไวรัส ขึ้นอยู่กับระยะของโรค และจะมีการรักษาโดยใช้ยาที่ช่วยลดการทำงานของไวรัสในร่างกายจนไม่ทำอันตรายต่อสุขภาพ

โรคซิฟิลิส

ซิฟิลิส เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ที่เกิดจากแบคทีเรียชื่อว่า Treponema Pallidum โรคนี้สามารถติดเชื้อผ่านทางเพศสัมพันธ์ การแบ่งปันเข็มฉีดยา และการส่งผ่านจากแม่สู่ลูกในขณะที่เกิดการตั้งครรภ์ได้

อาการของซิฟิลิสมักจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะแรกเรียกว่า ระยะเริ่มต้น มักไม่มีอาการแสดงผล ระยะที่สองเรียกว่าระยะกลาง จะมีอาการเหมือนกับโรคไข้เลือดออก เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว และผื่นบนผิวหนัง และระยะที่สาม คือ ระยะสุดท้าย ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาโรคซิฟิลิสเชื้อจะลุกลามส่งผลต่อหัวใจและสมอง และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

การรักษาซิฟิลิสในผู้หญิง

เป็นไปตามขั้นตอนของระยะโรค โดยจะใช้การฉีดยา Penicillin G เข้าทางกล้ามเนื้อ ในระยะแรกและกลางของโรค การรักษาด้วยการฉีดยานี้ มักจะทำให้โรคหายไป และไม่มีการกลับมาเป็นซ้ำ แต่หากไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดความผิดปกติต่างๆ ในระบบต่างๆ ของร่างกายได้

ทำไมผู้หญิงต้องใส่ใจเรื่องโรคติดต่อทางเพศเป็นพิเศษ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือ STD สำหรับผู้หญิงนั้น ยังเป็นปัญหาที่สำคัญมากในปัจจุบัน เนื่องจากมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสาเหตุส่วนใหญ่ เกิดจากการมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่ปลอดภัย เช่น มีคู่รักหลายคู่ที่ไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน หากอีกฝ่ายมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่น ก็ทำให้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อมากขึ้น

ผลกระทบที่มากกว่านั้น คือ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับผู้หญิง สามารถทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพ และชีวิตส่วนตัวได้ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันเวลา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการติดเชื้อโดยไม่มีอาการ ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าติดเชื้อและนำโรคไปแพร่เชื้อให้กับคู่นอนคนต่อไปได้ นอกจากนี้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สำหรับผู้หญิง ยังสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น โรคมะเร็งปากมดลูก และการติดเชื้ออื่นๆ ที่เกิดจากการทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้อ่อนแอเจ็บป่วย

ดังนั้น ผู้หญิงจึงจำเป็นจะต้องให้ความสนใจเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรรับรู้ถึงอาการ และวิธีการป้องกัน รวมถึงรับรู้ถึงการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อป้องกันการติดเชื้อและได้รับการรักษาที่ถูกต้องต่อไปด้วย

อาการของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้ในผู้หญิง

  • มีอาการตกขาวผิดปกติ มีกลิ่นเหม็น หรือมีตกขาวเรื้อรัง
  • มีอาการคัน หรือระคายเคือง บริเวณอวัยวะเพศ
  • มีตุ่ม ผื่น หรือแผล ที่อวัยวะเพศ
  • มีไข้ ไอเจ็บคอ ปวดศีรษะ
  • ปัสสาวะแสบขัดหรือมีเลือดออกจากช่องคลอด
  • ปวดท้องหรือปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
  • รู้สึกเจ็บเวลามีเพศสัมพันธ์หรือมีเลือดออกหลังจากเสร็จกิจ
ผู้หญิงจะป้องกันโรคติดต่อทางเพศได้ด้วยวิธีไหนบ้าง

ผู้หญิงจะป้องกันโรคติดต่อทางเพศได้ด้วยวิธีไหนบ้าง

  • สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
  • มีคู่นอนประจำหรือไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆ
  • ไม่มีเซ็กส์กับคนที่มีความเสี่ยงหรือคนแปลกหน้า
  • ดูแลรักษาความสะอาดอวัยวะเพศให้ดี
  • หมั่นตรวจคัดกรองโรคประจำปี รวมถึงตรวจภายใน
  • หาความรู้เกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้หญิง
  • ปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อพบอาการผิดปกติใดๆ ไม่ควรซื้อยามารักษาเอง

อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

วิธีทาน ยาต้านฉุกเฉิน (PEP) ที่ถูกต้อง

หนองใน แม้ไม่เห็นแผล ก็ติดได้

ในวันสตรีสากล เราต้องการพูดเน้นย้ำถึงความใส่ใจเรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มีความสำคัญอย่างยิ่งในผู้หญิง เนื่องจากผู้หญิงมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงกว่าผู้ชาย เนื่องจากความต้านทานของช่องคลอด และช่องคอมดลูก น้อยกว่าผู้ชาย ทำให้เชื้อที่เป็นสาเหตุของโรคติดต่อทางเพศ สามารถเข้าทำลายระบบต่างๆ ของร่างกายได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ยังสามารถมีผลกระทบต่อสุขภาพของผู้หญิงได้หลายด้าน เช่น โรคติดเชื้อทางเพศอาจทำให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารกในครรภ์ โดยเฉพาะสำหรับโรคติดเชื้อที่เกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งสามารถถ่ายเทได้ผ่านทางเลือดหรือสารคัดหลั่ง ทำให้ทารกในครรภ์ติดเชื้อและเกิดผลกระทบต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาของทารกในภายหลัง ดังนั้น การใส่ใจและป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในผู้หญิง จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก

Similar Posts